1.ระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(MIS Subsystem)
สามารถแบ่งระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการได้ตามหน้าที่ในองค์การเป็น 4
ระบบดังต่อไปนี้
จงอธิบายแต่ละระบบมาพอเข้าใจพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
1.1 ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (Transaction Processing
System)
ตอบ ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (Transaction Processing
System)
หรือที่เรียกว่า TPS หมายถึงระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น
เพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์
เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลัก โดยที่ TPS
จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานในแต่ละวันขององค์การเป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นระบบ
TPS มีหน้าที่หลักอยู่ 3
ประการดังนี้
1. การทำบัญชี (Bookeeping)
ทำหน้าที่ในการเก็บบันทึกการปฏิบัติงานหรือเหตุการณ์ทางการบัญชีที่เกิดขึ้นในแต่ละวันขององค์การ การปฏิบัติงานมักเกี่ยวข้องกับบุคคล 2
กลุ่มคือ
ลูกค้า และ
ผู้ขายวัตถุดิบโดยที่องค์การต้องมีการลงบันทึกรายการสินค้าในแต่ละวัน และบันทึกรายการซื้อสินค้ามาเข้าร้าน
2. การออกเอกสาร (Document Issuance) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในแต่ละวัน เช่น
การออกใบรับส่งสินค้า
การออกเช็ค ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น
3. การทำรายงานควบคุม (Control Reporting) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกเอกสารต่างๆ ที่มีผลมาจากการดำเนินงานขององค์การ เพื่อตรวจสอบและควบคุมการดำเนินงานขององค์การ เช่น
การออกเช็คเงินเดือนของพนักงานแต่ละคน เป็นต้น
ตัวอย่างเช่นบริษัท
Avon
นำเทคนิคการป้อนข้อมูลแบบสแกนบาร์โค้ดสินค้าเพื่อลดความผิดพลาดของการคีย์ข้อมูลใบสั่งสินค้า
ซึ่งทำให้มีความแม่นยำมากขึ้น 76% ผลผลิตเพิ่มขึ้น 75% เวลาของการสั่งซื้อสินค้าลดลง
67% ลดต้นทุนลง 65%
1.2 ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ (Management Reporting
System)
ตอบ
ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ (Management Reporting
System) หรือเรียกว่า
MRS หมายถึงระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้น เพื่อรวบรวม
ประมวลผล จัดระบบ และจัดทำรายงานหรือเอกสาร สำหรับช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร
ตัวอย่างเช่น
การกระทำพื้นฐานที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการทางธุรกิจ เช่น การขายสินค้า
การจองตั๋วเครื่องบิน การซื้อสินค้าผ่านเครดิตการ์ดและการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง
เป็นต้น
1.3
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Supporting
System)
ตอบ-ใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่มีลักษณะเป็นแบบไม่มีโครงสร้าง(unstructured
situations) โดยจะมีการนำวิจารณญาณของมนุษย์กับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์มาใช้ประกอบในการตัดสินใจ
-ระบบ DSS
ช่วยในการตอบสนองความต้องการที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน
-ช่วยในการตัดสินในที่ต้องความรวดเร็วสูง
ตัวอย่าง การส่งสินค้า เพื่อส่งสินค้ากว่า
300 ชนิด เช่น นม เบียร์ และอื่น ๆ ระบบดังกล่าวช่วยคำนวณความสมดุลระหว่างค่านำส่ง
ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ กับความถี่ในการนำส่งปริมาณต่ำสุดในการสั่งสินค้า
รวมถึงการกำหนดจำนวนสินค้าแต่ละชนิดที่จะผลิตและการนำสินค้านั้นไปเก็บไว้ในคลังสินค้าต่าง
ๆ ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการตัดสินของบริษัทซาน ไมเกล
โดยใช้เกณฑ์ระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ
ช่วยในการตัดสินใจในการบริหารงานของบริษัทซาน ไมเกล
ได้มากขึ้นและยังช่วยในการลดค่าใช้จ่ายของบริษัทซาน ไมเกล
ในการจ้างพนักงานมาบริหารงานของบริษัท
1.4
ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information
System)
ตอบ
เป็นระบบการจัดการสารสนเทศในสำนักงานโดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ
ในสำนักงาน เช่น อุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์ ระบบอินเทอร์เน็ต (Internet)
การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์
โมเด็ม (Modem) โทรศัพท์ เครื่องโทรสาร เครื่องถ่ายเอกสาร
เป็นต้น เพื่อใช้เกี่ยวกับงานประมวลผลคำ งานพิมพ์ตั้งโต๊ะ
งานส่งข่าวสารข้อมูลและอื่น ๆ เป็นระบบเกี่ยวกับการผลิตเอกสาร
การติดต่อประสานงานโดยเกี่ยวข้องกับระบบ TPS และ MIS เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในงาน
บริหารในสำนักงานเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงาน
2. จงเปรียบเทียบระบบ TPSกับระบบ MIS
และ DSS
ลักษณะของระบบ
|
ระบบประมวลผลธุรกรรม(TPS)
|
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS)
|
ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
(DSS)
|
1. วัตถุประสงค์หลัก
|
ควบคุมการปฎิบัติงาน
|
สนับสนุนการการบริหาร
|
จัดทำและประมวลสารสนเทศ
|
2. จุดเด่นของระบบ
|
รวบรวมและแสดงกิจกรรม
|
รวบรวมประมวลผลจากระบบและจัดทำรายงาน
|
จัดเตรียมสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
|
3. ผู้ใช้ระบบ
|
นักปฎิบัติการ |
องค์กร
|
บุคคล
กลุ่มคน และองค์กร
|
4. ชนิดของปัญหา
|
มีโครงสร้าง
|
กึ่งมีโครงสร้าง
|
ไม่มีโครงสร้าง
|
5. แหล่งข้อมูล
|
เรียกสารสนเทศมาอ้างอิง
|
ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล
|
ใช้โมเดลในการวิเคราะห์
|
6. ความคล่องตัวของระบบ
|
สนับสนุนการดำเนินงานในแต่ละส่วนให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย
|
ระบบจะพิมพ์รายงานออกมา ตามระยะเวลาที่กำหนดจะไม่ได้ตามที่ต้องการทันที่
|
onlineและrealtime
|
3. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
และมีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆอย่างกว้างขวาง
ทั้งทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม
สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการบริการสังคม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในปัจจุบัน
จงอธิบายผลกระทบทางบวกและทางลบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ตอบผลกระทบทางบวกคือ
1. เพิ่มความสะดวกสบายในการสื่อสาร การบริหาร
และการผลิต
ทำให้ชีวิตคนในสังคมได้รับความสะดวกสบาย
เช่น
การติดต่อผ่านธนาคารด้วยระบบธนาคารที่บ้าน
(Home Banking) การทำงานที่บ้าน เป็นต้น
2.
เกิดสังคมแห่งการสื่อสารและสังคมโลก เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเอาชนะเรื่องระยะทาง เวลา
และสถานที่ได้ด้วยความเร็วในการติดต่อสื่อสารที่เป็นเครือข่ายความเร็วสูง ทำให้มนุษย์ในสังคมสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ว
3.
มีระบบผู้เชี่ยวชาญต่างๆในฐานข้อมูลความรู้ เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพและการแพทย์
4.
เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสให้คนพิการ หรือผู้ด้อยโอกาสจากการพิการทางร่างกาย
เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือคนพิการให้สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้
5.
พัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่ กระตุ้นความสนใจแก่ผู้เรียนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการสอน
6.
การทำงานเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น กล่าวคือ
ช่วยลดเวลาในการทำงานให้น้อยลงแต่ได้ผลผลิตมากขึ้น เช่น การใช้โปรแกรมประมวลผลคำ เพื่อช่วยในการพิมพ์เอกสาร
7.
ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการบริโภคสินค้าที่หลากหลาย และมีคุณภาพดีขึ้น
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้รูปแบบของผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่และหลากหลายมากขึ้น
ผลกระทบทางลบคือ
1. ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นในสังคม
เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเคยทำอะไรอยู่ก็มักชอบทำอย่างนั้น แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ บุคคล
วิถีการดำเนินชีวิต
และการทำงาน
ผู้ที่รับต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้จึงเกิดความวิตกกังวลขึ้นจนกลายเป็นความเครียด
2.
ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรมหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก การแพร่จากวัฒนธรรมของสังคมหนึ่งไปสู่สังคมอีกสังคมหนึ่ง
เป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมที่รับวัฒนธรรมนั้น
3.
ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม
เนื่องจากแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านจารีตประเพณีและศีลธรรม แต่การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วเมื่อมีการแพร่ภาพหรือข้อมูลข่าวสารที่ไม่ดีไปยังประเทศต่างๆ จะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศนั้นๆ
4.
การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง
กิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังสรรค์กันมีน้อยลง
สังคมเริ่มห่างเหินกันเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางไกลทำให้ทำงานอยู่ที่บ้านหรือเกิดการศึกษาทางไกลโดยไม่ต้องเดินทาง
5.
เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไม่มีขีดจำกัดย่อมส่งผลต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
6.
เกิดช่องว่าทางสังคม
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจะเกี่ยวข้องกับการลงทุน ผู้ใช้จึงเป็นชนชั้นในอีกระดับหนึ่งของสังคม
ในขณะที่ชนชั้นระดับรองลงมามีจำนวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้
7.
เกิดการต่อต้านเทคโนโลยี
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทต่อการใช้งานมากขึ้นในด้านต่างๆ เช่นด้านการศึกษา สาธารณสุข
เศรษฐกิจการค้า
และธุรกิจอุตสาหกรรม
รวมถึงกิจกรรมการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ
8.
อาชญากรรมบนเครือข่าย
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆขึ้น เช่นปัญหาอาชญากรรม ตัวอย่างเช่น
อาชญากรรมในรูปแบบของการขโมยความลับ
การขโมยข้อมูลสารสนเทศ เป็นต้น
9. ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ การจ้องมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ มีผลเสียต่อสายตาซึ่งทำให้สายตาผิดปกติ มีอาการแสบตา
เวียนศีรษะ
นอกจากนั้นยังมีผลต่อสุขภาพจิต
เกิดโรคทางจิตประสาท เช่น
โรคคลั่งอินเทอร์เน็ต เป็นต้น